วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558 | | By: Unknown

รองเท้าวิ่ง Nike Free Run (รีวิว)

Nike Free Run

          ช่วงนี้หน้าฝนนะครับผมไม่ค่อยจะได้ออกไปวิ่งสักเท่าไหร่ก็เลยจะมีรีวิวกันเยอะหน่อย สำหรับวันนี้ผมจะมารีวิว Nike Free 5.0 v5 ซึ่งเป็น Free 5.0 ตัวล่าสุดของ Nike ที่กำลังวางตลาดอยู่นะครับ (ถ้าเอาตาม wiki เรื่อง Nike Free จะเป็น Nike Free 5.0 v5 แต่ถ้า search ในกูเกิลบางเวบไซท์จะเรียกรุ่นนี้ว่า Nike Free 5.0 v8 ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอันไหนถูก -“-) ต้องขอขอบคุณคุณเบียร์เจ้าของรองเท้าด้วยนะครับที่ให้ผมยืมมารีวิว
          สำหรับรองเท้าวิ่งในกลุ่ม Nike Free ตอนนี้ก็จะมีอยู่ 3 รุ่นนะครับคือ Free 3.0 , Free 4.0 , Free 5.0 โดยจะมี heel drop ที่ 4 mm , 6 mm , 8 mm ตามลำดับครับ โดยนอกจากเรื่อง heel drop แล้วแต่ละรุ่นก็จะต่างกันในเรื่องความหนาของ midsole แล้วก็วัสดุที่เอามาทำ upper ครับ
พัฒนาการ Nike Free Run 

          ประวัติของ Nike Free นี่ถ้าจะเท้าความไปก็เริ่มวางขายกันตั้งแต่ปี 2005-2006 เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในรองเท้าวิ่ง minimalist รุ่นบุกเบิกเลยก็ได้ครับ สำหรับเลข 5.0 ที่ตามหลังชื่อรุ่นนั้น เป็นระบบตัวเลขของ Nike ที่ใช้แบ่งความหนาของ cushion ของรองเท้าจาก 0 (เท้าเปล่า) จนถึง 10 (รองเท้าวิ่งปกติ) Nike Free 5.0 ก็คืออยู่ตรงกลางนั่นเองครับ



          สิ่งที่รองเท้าวิ่ง Nike Free 5.0 ตัวล่าสุดนี้จะต่างกับรุ่นก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัดที่สุดคือจะมี Flywire (เป็นเชือกไนล่อนที่ยึดจากพื้นรองเท้าไปที่รูร้อยสาย) ซึ่งออกแบบมาเพื่อเพิ่มความกระชับของเท้าครับ ส่วนบริเวณ upper เป็นผ้า mesh กับแผ่นหนังซึ่งดูจะหนาหน่อยถ้าเทียบกับรองเท้า minimalist ยี่ห้ออื่นในท้องตลาด


รองเท้าวิ่ง Nike Free Run ชาย



          ด้านในรองเท้าจะมีแผ่นรองสีเขียวหนาประมาณ 6-8 mm. สำหรับรองเท้าข้างซ้ายถ้าถอดแผ่นรองออกมาจะเห็นช่องสำหรับใส่ Nike+ Sensor (footpod) Nike Free คู่นี้ toe box กว้างครับ (สำหรับหน้ากว้าง D กว้างกว่ารองเท้า trad แต่ไม่ได้กว้างขนาด Merrell หรือ NB Minimus) รายละเอียดอื่นก็มีดังนี้ครับ


ด้านใน รองเท้าวิ่ง Nike Free Run

          เนื่องจากคู่นี้เป็นรองเท้าวิ่งที่ยืมเพื่อนมาผมเลยไม่ได้ใส่วิ่งทดสอบมากเท่าไหร่นะครับ ลองใส่วิ่งไปประมาณ 30 km. การสวมใส่ค่อนข้างใส่สบายตามสไตล์รองเท้า minimalist ตัว midsole นี่จะให้ความรู้สึกไม่นุ่มเท่าไหร่ (semi-soft cushion) ถ้าเทียบกับ Brooks Pureflow ที่ midsole มีความหนาใกล้เคียงกัน จะรู้สึกได้ชัดเลยครับว่า PureFlow นุ่มกว่า แต่อย่างไรก็ตามเรื่องความนุ่มของ cushion แต่ละคนอาจจะชอบไม่เหมือนกัน ต้องลองใส่เองดูครับแล้วจะรู้ว่ามันโอเคกับเรามั้ย


รองเท้าวิ่ง Nike Free Run


          พอวิ่งไปนานๆ ผมรู้สึกว่าส่วน upper ถึงจะเป็น mesh แต่ก็ไม่ค่อยจะโปร่งสักเท่าไหร่ ระบายความร้อนไม่ได้ดีมากนักถ้าเทียบกับรองเท้าวิ่งคู่อื่นที่ผมเคยรีวิวมา ส่วนเรื่อง drop 8 mm. นั้นสำหรับผมไม่ค่อยจะให้ความรู้สึก minimalist มากนัก (อาจเพราะผมชินกับรองเท้า drop 4 mm. กับ zero drop) แต่ถึงอย่างไรก็ตามแม้ว่า Nike Free 5.0 จะมีส่วนส้นเท้าหนากว่ารองเท้า minimalist อื่นก็ยังไม่เหมาะกับการวิ่งลงส้น (heelstrike) อยู่ดีนะครับ เจ้าของรองเท้าคู่นี้ก็วิ่งลงส้นครับเข้าสมาคมเจ็บเข่าไปเรียบร้อยแล้ว




          สรุป Nike Free 5.0 ในความเห็นผมคิดว่าถ้าคุณเป็นคนที่เริ่มที่สนใจอยากจะหันมาเริ่มวิ่ง minimalist ในช่วงปรับเปลี่ยนใช้คู่นี้ก็โอเคเลย เพียงแต่ว่าพอคุณเริ่ม minimalist ไปสักพักแล้วกล้ามเนื้อของคุณแข็งแรงขึ้น คุณอาจจะอยากมีความรู้สึก feel to the ground มากขึ้น คุณก็ต้องเปลี่ยนไปหา heel drop 4 mm. หรือ zero drop ไปเลย ซึ่งถ้าใครเป็นแฟนไนกี้แล้วอยากลอง minimalist ผมแนะนำให้ลองเลือก Nike Free 3.0 v5 ดีกว่าครับ (มี heel drop ต่ำกว่า แล้วก็ upper โปร่งกว่าเป็น seamless ชิ้นเดียว)


Nike Free Run



          จุดเด่นอีกอย่างของ midsole ของ Nike Free ก็คือเรื่อง flexible ครับ เรื่องนี้ของเค้าดีจริงๆ บิดเท้า งอเท้า ได้สบายมาก และอีกหนึ่งเรื่องที่ไนกี้มักจะทำได้ดีเสมอ คือ ความเป็นแฟชั่น(fashionable) ครับ รองเท้าวิ่งตระกูล Nike Free ผมว่าทรงสวยแล้วก็ใส่ลำลองได้เฟี้ยวมากครับ โดยรวมแล้วถือว่าเป็นรองเท้าที่ใส่สบายคู่หนึ่งครับแต่จะถูกใจหรือไม่ต้องไปลองใส่กันดูนะครับ Nike Free 5.0 (4.0 และ 3.0) ราคาเต็มในช้อป 4,400 บาทครับ


ราคามีการเปลี่ยนแปลงกรุณา      เพื่อเช็คราคาปัจจุบัน




( รีวิวดีๆนี้ คัดลอกมาจากhttp://runners.onnut.net )